กระดาษมีความสำคัญอย่างไร
ของใช้ในชีวิตประจำวันที่อยู่รอบ ๆ ตัวเรา เช่น
หนังสือที่เรากำลังอ่านอยู่นี้ หนังสือพิมพ์ ถุงใส่ขนม กล่องใส่ของ ธนบัตร
กระดาษเช็ดหน้าเช็ดปาก ตั๋วรถเมล์
ตลอดจนแผ่นป้ายโฆษณาที่ติดอยู่ตามสถานที่ทั่วไป
ล้วนแล้วแต่ทำด้วยกระดาษทั้งสิ้น
มนุษย์เริ่มรู้จักวิธีทำกระดาษเมื่อประมาณ ๒,๐๐๐
กว่าปีมาแล้วในประเทศจีน โดยเอาฟางมาแช่น้ำทิ้งไว้
ครั้นฟางเปื่อยดีแล้วนำไปตีจนและจึงกรองเยื่อที่ได้ออก
เอาไปล้างให้สะอาดอีกครั้งก็จะได้เยื่อกระดาษ
วิธีทำกระดาษให้เป็นแผ่นในสมัยนั้น
ทำโดยเอาเยื่อกระดาษที่ล้างสะอาดแล้วมาละลายน้ำอีกครั้งหนึ่งในถังไม้
น้ำที่ใช้ผสมต้องมากประมาณ ๑๐-๑๕ เท่าของเนื้อเยื่อ
แล้วใช้ตะแกรงไม้ไผ่ตาถี่ช้อนลงไปในถัง เนื้อเยื่อจะติดตะแกรง
พอหมาดดีแล้วลอกเยื่อกระดาษที่ติดตะแกรงเป็นแผ่นออกไปตากแดดจนแห้ง
กระดาษจะหนาหรือบางขึ้นอยู่กับความข้นของเยื่อ
ถ้าต้องการกระดาษหนาก็ผสมเยื่อให้ข้น กระดาษที่ได้มีสีน้ำตาลเพราะทำจากฟาง
จึงเรียกว่า กระดาษฟาง ต่อมามีการใช้ผ้าขี้ริ้วหรือเศษผ้าแช่
กับน้ำด่างที่ได้จากขี้เถ้าแล้วตีจนเละเช่น เดียวกับวิธีทำกระดาษฟาง
แต่กระดาษที่ได้มีสีเทา และเนื้อละเอียดกว่ากระดาษฟางมาก
เคล็ดลับวิธีทำกระดาษได้ตกทอดไปยังทวีปยุโรป
ประเทศอังกฤษได้รู้จักทำกระดาษใช้เมื่อ พ.ศ. ๑๘๕๒ ในสมัยนั้น
กรรมวิธีทำกระดาษส่วนใหญ่ยังทำด้วยมือ ต่อมาใน พ.ศ. ๒๓๔๒
จึงมีชาวฝรั่งเศสผู้หนึ่งชื่อ นิโคลาส โรแบร์ต (Nicolas Robert)
ได้ประดิษฐ์เครื่องทำกระดาษขึ้นมา โดยทำเป็นเครื่องมือแบบง่ายๆ
และแผ่นกระดาษที่ได้ยังต้องนำไปตากให้แห้งด้วยการผึ่งลมในห้อง
วัสดุ
ที่ใช้ทำกระดาษมีหลายอย่าง เช่น เศษผ้า ฟาง ปอ หญ้า ไม้ ไม้ไผ่ และชานอ้อย
เช่น โรงงานกระดาษ จังหวัดกาญจนบุรี ใช้ไม้ไผ่เป็นวัตถุดิบสำคัญ
โรงงานกระดาษบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ใช้ฟางข้าว โรงงานเยื่อกระดาษ
ที่จังหวัดขอนแก่น ใช้ปอเป็นวัตถุดิบ เนื่องจากเป็นวัตถุดิบที่หาได้ง่าย
ในแถบนั้น ๆ ส่วนโรงงานทำกระดาษที่ใช้ไม้เป็นวัตถุดิบยังไม่มี
แต่มีโครงการจะตั้งโรงงานผลิตกระดาษหนังสือพิมพ์โดยใช้ไม้จากป่าสนทาง
ภาคเหนือในอนาคต
กระดาษประกอบไปด้วยเนื้อเยื่อชิ้นเล็ก ๆ
รวมเป็นเนื้อเดียวกันกระดาษบางชนิดจะแลเห็นเนื้อเยื่อเหล่านี้ชัดเจนมาก
เช่น กระดาษสาที่ใช้ทำตัวว่าวและกระดาษถุงสีน้ำตาล เป็นต้น
ไม้ทุกชนิดใช้ทำเยื่อกระดาษได้
แต่มีอยู่เพียงไม่กี่ชนิดที่เหมาะสำหรับอุตสาหกรรมกระดาษ
ไม้ที่เหมาะสำหรับอุตสาหกรรมกระดาษจะต้องให้เยื่อเหนียว ยาว มียางน้อย
เพราะยางไม้ทำให้เปลืองสารเคมีเมื่อต้มเยื่อ
และยังทำให้กระดาษขาดง่ายขณะทำเป็นแผ่นต้องเป็นไม้ที่ขยายพันธุ์ง่าย
เจริญเติบโตเร็ว ให้ปริมาณไม้ต่อเนื้อที่สูงและไม่มีคุณค่าในการทำ
เครื่องเรือน
ไม้ที่มีคุณสมบัติดังกล่าวมักจะเป็นไม้เนื้ออ่อน เช่น ไม้สน
ไม้ประเภทสนมีอยู่หลายชนิด ตามลักษณะของใบ ทางภาคเหนือของประเทศไทย
ที่จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน ได้ทดลองปลูกสนชนิดต่าง ๆ
เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมกระดาษ ผลปรากฏว่าสนหลายชนิดสามารถปลูกขึ้นในประเทศไทย
และเจริญเติบโตเร็วกว่าในต่างประเทศ
ไม้เนื้ออ่อนบางชนิดที่มีขึ้นอยู่ทั่วไปในประเทศ เช่น ต้นนุ่น งิ้ว ก้ามปู
ก็สามารถใช้ทำกระดาษได้
ประเทศต่าง ๆ ในเอเชีย เช่น ประเทศพม่า อินเดีย ปากีสถาน จีน
ต่างก็ใช้ไม้ไผ่เป็นวัตถุดิบทั้งสิ้น เนื่องจากไม้ไผ่ขึ้นเองตามธรรมชาติ
แต่ปริมาณไม้ไผ่ที่ได้ต่อเนื้อที่น้อยกว่าไม้ชนิดอื่น ๆ
จึงยังไม่เหมาะสำหรับอุตสาหกรรมกระดาษขนาดใหญ่
ฟางและชานอ้อยให้เยื่อกระดาษสั้นและไม่เหนียวจึงเหมาะที่จะใช้ทำ
กระดาษคุณภาพต่ำ เช่น กระดาษหนังสือพิมพ์
แต่ถ้าจะใช้เยื่อที่ได้จากฟางหรือชานอ้อยทำกระดาษคุณภาพดี เช่น กระดาษสมุด
ต้องผสมเยื่อยาวที่ได้จากไม้สนหรือไม้ไผ่ลงไปประมาณร้อยละ ๓๐-๕๐
ไม้ที่ใช้ทำกระดาษ เมื่อขนส่งมาถึงโรงงาน
จะถูกปอกเปลือกออกหรืออาจจะลอกเปลือกออกทันทีด้วย
เครื่องจักรหรือมือหลังการโค่น การลอกเปลือกทำได้หลายวิธีด้วยกัน เช่น
ใส่ท่อนไม้ที่ตัดสั้นลงไปในถังใหญ่ที่หมุนในแนวระดับ
ไม้จะถูกันเองจนเปลือกหลุด หรืออาจใช้น้ำที่มีความดันสูงระหว่าง
๑,๕๐๐-๒,๕๐๐ ปอนด์ตารางนิ้ว ฉีดบนท่อนซุง
แรงดันของน้ำทำให้เปลือกไม้หลุดออกได้
เปลือกไม้จะถูกนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงต่อไปในโรงงานทำกระดาษนั่นเอง
จากนี้ท่อนซุงที่ปราศจากเปลือกแล้วจะถูกนำไปทำให้กลายเป็นเยื่อกระดาษต่อไป
กรรมวิธีทำเยื่อกระดาษมีอยู่ ๒ วิธีคือ
๑. กรรมวิธีบด ท่อนซุงที่ปอกเปลือกแล้ว
จะถูกนำป้อนเข้าไปฝนกับโม่หิน โดยมีน้ำฉีดเพื่อให้โม่หินเย็นลง
และหาเยื่อกระดาษออกไปทำกระดาษต่อไป
๒. กรรมวิธีทางเคมี
ท่อนซุงจะถูกทำให้เป็นเยื่อกระดาษโดยสารเคมี
เยื่อกระดาษที่ได้จากวิธีนี้จะมีสีขาวกว่า
แต่จะมีราคาแพงกว่ากระดาษที่ทำด้วยกรรมวิธีบด ท่อนซุงจะถูกหั่นเป็นชิ้นเล็ก
ๆ แล้วผ่านไปยังหม้อย่อยไม้ เศษไม้จะถูกต้มกับสารเคมีนาน ๖-๒๔ ชั่วโมง
จึงจะได้เยื่อกระดาษที่จะทำเป็นกระดาษต่อไป
สารเคมีสำคัญๆ ที่ใช้ต้ม มีอยู่ ๓ ประเภท ดังนั้น
เยื่อกระดาษที่ได้จึงมี ๓ ประเภทตามชนิดของสารเคมีที่ใช้ คือ
เยื่อกระดาษโซดา (soda pulp) ใช้สารละลายด่างแก่ หรือโซดาแผดเผา (caustic
soda) เยื่อกระดาษซัลไฟด์ (sulfide pulp) ใช้แคลเซียมไบซัลเฟต (calcium
bisulfate) และเยื่อกระดาษ ซัลเฟต (sulfate pulp) ใช้โซเดียมซัลเฟต (sodium
sulfate) รวมกับโซดาแผดเผา โซเดียมซัลไฟด์ (sodium sulfide)
และโซเดียมคาร์บอเนต (sodium carbonate)
สารเคมีแต่ละชนิดทำให้เยื่อกระดาษมีคุณสมบัติต่าง ๆ กัน เช่น
เยื่อกระดาษโซดาจะอ่อนนุ่มและขาวสะอาดเหมาะที่จะใช้ทำกระดาษสมุดหนังสือ
และหนังสือพิมพ์ เยื่อกระดาษซัลไฟด์จะเหนียวกว่า
เหมาะที่จะใช้ทำกระดาษที่เหนียวขึ้น ส่วนเยื่อกระดาษซัลเฟตนั้นเหนียวมาก
และยังฟอกสีให้ขาวได้ยาก จึงเหมาะที่จะใช้ทำกระดาษสีน้ำตาล ใช้ห่อของ
บางทีเราเรียกว่า กระดาษคราฟต์ (kraft paper คำว่า kraft
ในภาษาเยอรมันแปลว่า ความแข็งแรง)
กระดาษชนิดนี้เริ่มผลิตในประเทศเยอรมันจึงได้ชื่อมาจนทุกวันนี้
เยื่อกระดาษที่ได้จะมีสีน้ำตาลอ่อนหรือสีน้ำตาลแก่
แล้วแต่กรรมวิธีที่ผลิตเยื่อ
ถ้าต้องการเยื่อสีขาวสำหรับกระดาษสมุดหรือกระดาษพิมพ์จะต้องผ่านการฟอกสี
ด้วยสารเคมี สารเคมีที่นิยมใช้ฟอกสีกระดาษ ได้แก่ ก๊าซคลอรีน ผงฟอกสี
คลอรีนไดออกไซด์ เป็นต้น เมื่อได้เยื่อกระดาษมาแล้ว
นำไปทำเป็นแผ่นกระดาษโดยเอาเยื่อกระดาษมากวน กับน้ำให้เข้ากันในถังใหญ่
ใส่ส่วนผสมอื่น ๆ เช่น ผสมสีทำให้กระดาษมีสีต่าง ๆ กัน ผสมแป้งหรือยางไม้
บางชนิดทำให้หมึกไม่ซึมเวลาพิมพ์ เป็นต้น จากนั้นจะถูกผ่านไปบนตะแกรงลวด
ซึ่งทำเป็นสายพานเกลี่ยให้เป็นแผ่นกว้าง น้ำจะถูกดูดซึมออก
เกิดเป็นแผ่นกระดาษเปียก ๆ จากนั้นจึงนำไปผ่านลูกกลิ้งเพื่อทำให้เรียบ
แล้วนำไปผ่านลูกกลิ้งอีกเป็นจำนวนมาก
เพื่อให้น้ำในกระดาษระเหยจนแห้งและในที่สุดกระดาษจะมีผิวเรียบ มัน
แล้วจึงม้วนเข้าเป็นม้วนใหญ่พร้อมที่จะนำไปใช้ได้ต่อไป
วิวัฒนาการของการผลิตกระดาษ และความต้องการใช้กระดาษในปัจจุบัน
ทำให้เราใช้กระดาษเพิ่มมากขึ้น นอกจากทำกระดาษสมุดและหนังสือธรรมดาแล้ว
เรายังทำกระดาษแข็ง ทำประตู ฝากั้นห้อง ท่อระบายน้ำ
หรือแม้กระทั่งกางเกงชั้นในชนิดใช้แล้วทิ้ง ไม่ต้องซัก
ในอนาคตเราอาจมีผลิตผลอื่น ๆ ที่ทำด้วยกระดาษเพิ่มขึ้นอีกมาก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น